การผ่าตัดไซนัสด้วยกล้อง เป็นการผ่าตัดที่ “ปลอดภัย” ในมือผู้เชี่ยวชาญ แต่ก็เหมือนการผ่าตัดทุกชนิดที่มีความเสี่ยงเกิดภาวะแทรกซ้อน อาจารย์ผมสอนว่าเหมือนเดินข้ามถนนแล้วมีโอกาสโดนรถชน แต่เราสามารถข้ามได้ปลอดภัยเพราะเราระวัง มองซ้ายขวา อย่างดี ประเมินสภาพแวดล้อมอยู่เป็นระยะๆ เช่นเดียวกับการผ่าไซนัสที่ในมือคนที่ฝึกฝนหรือทำอยู่เรื่อยๆ มันจะมีความระแวดระวัง และถามตัวเองตลอดว่าตอนนี้เราอยู่ตรงไหน และปลอดภัยหรือไม่ ทำให้ภาวะแทรกซ้อนเกิดขึ้นน้อยมาก
อย่างไรก็ดีภาวะแทรกซ้อนที่คนไข้มักกังวลมากที่สุด คือ “ตาบอด” (Blindness) ซึ่งถือเป็นภาวะรุนแรง คำถามคือทำไมการผ่าตัดไซนัสถึงเกี่ยวข้องกับดวงตา? สาเหตุคือเบ้าตา (orbit) อยู่ติดกับไซนัสโดยเฉพาะไซนัสเอธมอยด์ (ethmoid sinus) มีเพียงผนังกระดูกบางๆ ที่เรียกว่า "lamina papyracea” คั่นไว้เท่านั้น หากเกิดการทะลุของกระดูก lamina papyracea ก็จะเกิดการบาดเจ็บต่อสิ่งที่อยู่ในเบ้าตาได้
สิ่งที่อยู่ในเบ้าตามีอะไรบ้าง
-กล้ามเนื้อรอบตา
-เส้นเลือด
-ไขมัน
-และที่สำคัญที่สุดคือ ระบบประสาทอัตโนมัติ และ เส้นประสาทตา (optic nerve)
กลไกการเกิดการบาดเจ็บต่อตามีได้หลายแบบดังนี้
แบบแรก การฉีกขาดของเส้นเลือดไม่ว่าจะอยู่ในเบ้าตา หรือนอกเบ้าตา ส่งผลให้การมองเห็นลดลงหรือสูญเสียการมองเห็นถาวรได้ โดยมากเกิดจากการใช้เครื่องมือไปโดนเส้นเลือดภายในจมูก (AEA) แล้วเลือดไหลย้อนเข้าไปขังในกระบอกตา แล้วไม่ทราบ เมื่อเลือดออกเรื่อยๆในเบ้าตา จะเกิดภาวะเลือดขัง (orbital hematoma) กดเบียดเส้นประสาทตาไปสักระยะ เส้นประสาทตาจะค่อยๆขาดเลือด แล้วก็สามารถบอดได้ในที่สุด ภาวะนี้แก้ไขได้ หากรู้ตัวเร็ว คือเราจะเปิดระบายทั้งภายนอกและภายในเบ้าตาและจี้หยุดเลือด หากทำได้ทัน สามารถกลับมามองได้ปกติ
แบบที่สองหรือการผ่าตัดที่ใช้เครื่องมือตัดปั่นดูด (microdebrider) ไปโดนที่เส้นประสาทตาโดยตรง โดยเครื่องมือไปปั่นโดนที่เส้นประสาทโดยไม่รู้ก็เกิดการบาดเจ็บส่งผลต่อการมองเห็นได้ แบบนี้ขึ้นอยู่กับความรุนแรง หากตัดไปเลยก็คือบอดทันที คำถามคือเมื่อเราเข้าไปในเบ้าตาแล้วจะไม่รู้ตัวเชียวหรือ ตอบว่าในเคสริดสีดวงจมูก หรือก้อนเนื้อต่างๆ เมื่อโดนเลือดมากลบแล้วมันอาจจะมองไม่ชัด ในรายที่กระดูกกั้นมันบางมากๆ เมื่อปั่นทะลุไปแล้วเจอไขมันอาจเข้าใจว่าเป็นริดสีดวงได้ ก็เลยปั่นต่อไป ปั่นเท่าไหร่ก็ไม่หมดเสียที รู้อีกทีอยู่ในเบ้าตามานานแล้วเป็นต้น
แบบที่สาม การจี้ไฟฟ้าเพื่อห้ามเลือดแต่ไปโดนเส้นประสาทด้วย เช่นการเปิดเข้าไปในสฟีนอยด์แล้วเห็นจุดเลือดไหลแต่ไม่มีรู้ว่าตรงนั้นคือเส้นประสาท เมื่อจี้ไปแล้วก็สามารถทำให้บอดได้
แบบที่สี่ความผิดปกติของกายวิภาค เช่น ผนังบางผิดปกติ หรือมีผนังบางจุดมีช่องโหว่ (dehiscence) เครื่องมืออาจเข้าไปในเบ้าตาได้โดยไม่รู้ตัว เมื่อสิ่งที่อยู่ในเบ้าตาโดนดูดเข้าเครื่องมือแล้วถูกปั่นเข้าไปก็ไม่ทันแล้ว
หากเกิดขึ้นแล้ว ต้องทำอย่างไร?
“เวลา” คือสิ่งสำคัญที่สุด
หากเกิด อาการปวดตา ตาบวม หรือมองเห็นลดลง หลังผ่าตัดต้องรีบแจ้งแพทย์ทันที เพราะบางกรณีสามารถ ช่วยการมองเห็นกลับมาได้ หากได้รับการรักษาภายในไม่กี่ชั่วโมงแรก เช่น การคลายเลือดในเบ้าตา (orbital decompression) หรือให้ยา corticosteroid ขนาดสูงอย่างเร่งด่วน
แต่ในบางกรณีการแก้ไขทำได้ยากมาก หรือทำไม่ได้เลย โดยต้องเป็นการร่วมกันแก้ระหว่างหมอตา และหมอจมูก แม้ ESS จะเป็นการผ่าตัดที่มีความเสี่ยง “ต่ำมาก” สำหรับภาวะตาบอด (พบได้เพียง <0.1%) แต่การตระหนักรู้ถึงอันตรายนี้มีความสำคัญ ทั้งสำหรับแพทย์และผู้ป่วยครับ
อาจารย์มิกกี้ที่ผมนับถือบอกว่าการผ่าตัดเหมือนเดินข้ามถนนกับหมอ ผมเห็นด้วยมากๆ แล้วก็อยากเสริมว่าการผ่าตัดเหมือนนอนบนรถเข็นแล้วเอาผ้ามาปิดตา แล้วให้หมอเข็นรถข้ามถนน หมอที่เชี่ยวชาญหน่อยจะดูไฟแดง มองซ้ายขวา คอยระแวดระวังให้หากมีรถทำท่าจะเข้ามาใกล้ก็จะคอยหลบให้ ส่วนใหญ่แล้วมักจะปลอดภัยเกือบร้อยเปอร์เซนต์ แต่นั่นไม่ได้หมายความภาวะแทรกซ้อนจะไม่เกิดเลย เหมือนกำลังเข็นอยู่ดีๆอยู่บนทางม้าลายแล้วมีรถผ่าไฟแดงมาชน เหตุสุดวิสัยยังไงมันก็ยังสามารถเกิดขึ้นได้ครับ
นพ.วิรัช จิตสุทธิภากร