ภาวะไซนัสอักเสบจากเชื้อรา ชนิดลุกลามเฉียบพลัน (Acute IFRS): ภาวะฉุกเฉินที่ต้องแข่งกับเวลา
ภาวะไซนัสอักเสบจากเชื้อรา ชนิดลุกลามเฉียบพลัน (Acute Invasive Fungal Rhinosinusitis หรือ Acute IFRS) ถือเป็นภาวะฉุกเฉินทางโรคจมูก ที่ต้องได้รับการวินิจฉัยและรักษาโดยทันที
ความท้าทายที่สำคัญที่สุดคือการตรวจพบโรคให้เร็วที่สุด ก่อนที่เชื้อราจะลุกลามเข้าไปยังอวัยวะสำคัญ เช่น เบ้าตา โพรงสมอง หรือเนื้อเยื่ออื่นๆ ซึ่งหากเกิดการลุกลามแล้ว จะสัมพันธ์กับความเจ็บป่วยที่รุนแรงและอัตราการรอดชีวิตที่ลดต่ำลงอย่างมาก
ใครคือกลุ่มเสี่ยง?
ต้องสงสัยภาวะ IFRS เสมอใน "ผู้ป่วยที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง" ที่มีอาการของไซนัสอักเสบ
ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญที่สุด ได้แก่:
ภาวะเม็ดเลือดขาวชนิดนิวโทรฟิลต่ำเป็นเวลานาน (Prolonged neutropenia)
ผู้ป่วยเบาหวานที่มีภาวะเลือดเป็นกรด (Diabetic ketoacidosis)
ผู้ที่ได้รับการรักษาด้วยยาสเตียรอยด์ทั่วร่างกายเป็นเวลานาน
ผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือดขาว หรือผู้ที่เพิ่งได้รับเคมีบำบัด
อาการเตือนที่ต้องสังเกต
ในระยะแรก อาการอาจดูเหมือนไม่รุนแรง แต่จะทรุดลงอย่างรวดเร็ว จากการทบทวนผู้ป่วย 807 ราย อาการที่พบบ่อยที่สุดคือ:
อาการบวมบริเวณใบหน้า (64.5%)
มีไข้ (62.9%)
คัดจมูก (52.2%)
อาการทางตา: กล้ามเนื้อตาอัมพาต (50.9%), ตาโปน (48.9%), การมองเห็นลดลง (48.9%)
มีน้ำมูก (48.1%)
ปวดศีรษะ และปวดใบหน้า
น่ากังวลคือ ประมาณ 50% ของผู้ป่วย พบการลุกลามเข้าเบ้าตาแล้ว และ 21.2% พบการลุกลามเข้าสมองแล้ว ณ เวลาที่วินิจฉัยโรค หากเชื้อลามเข้าสมอง อาจทำให้เกิดอาการชัก, เส้นประสาทสมองผิดปกติ, สภาวะจิตใจเปลี่ยนแปลง และอาจเสียชีวิตได้ภายในเวลาเพียงไม่กี่วัน
การวินิจฉัย
หัวใจสำคัญในการวินิจฉัยคือการ "ส่องกล้องในโพรงจมูก" (Nasal Endoscopy) และ "การตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจ" (Biopsy)
การส่องกล้อง: แพทย์จะตรวจดูเนื้อเยื่อในโพรงจมูก สัญญาณอันตรายคือการพบเนื้อเยื่อที่ ซีด, ขาดเลือด, หรือกลายเป็นสีเทาไปจนถึงสีดำ ซึ่งบ่งบอกถึงการเน่าตาย (Necrosis) จากการที่เชื้อราลุกลามเข้าเส้นเลือด
การตัดชิ้นเนื้อ: ต้องทำการตัดชิ้นเนื้อบริเวณที่สงสัย (หรือบริเวณโพรงจมูกส่วนกลางที่ไส้กรองจมูกอันกลาง ซึ่งเป็นจุดที่พบเชื้อบ่อยที่สุด) เพื่อส่งตรวจทางพยาธิวิทยา "ทันที" (Frozen section) เพื่อยืนยันว่ามีเชื้อราลุกลามเข้าไปในเนื้อเยื่อ เส้นเลือด หรือกระดูกหรือไม่
การตรวจ CT และ MRI จะช่วยประเมินการลุกลามของโรคไปยังเบ้าตาและสมอง แต่การตรวจร่างกายและส่องกล้องเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการวินิจฉัยระยะเริ่มต้น
การรักษา: ทำทุกอย่างพร้อมกัน
การรักษา AIFS ต้องใช้ 3 แนวทางหลักร่วมกัน และต้องทำอย่างเร่งด่วน:
การผ่าตัด (Surgical Debridement): นี่คือหัวใจสำคัญของการรักษา ศัลยแพทย์จะผ่าตัดเข้าไปเพื่อ "ตัดเนื้อเยื่อที่เน่าตาย" ทั้งหมดออกให้มากที่สุด เพื่อลดปริมาณเชื้อรา และช่วยให้ยาต้านเชื้อราสามารถเข้าถึงบริเวณที่มีการติดเชื้อได้
การใช้ยาต้านเชื้อรา (Antifungal Therapy): ให้ยาต้านเชื้อรา (เช่น Amphotericin B) ชนิดฉีดเข้าหลอดเลือดทันที เพื่อหยุดยั้งการแพร่กระจายของเชื้อราในร่างกาย
การรักษาสาเหตุหลัก (Reversal of Underlying State): นี่คืออีกสิ่งที่สำคัญที่สุด คือ "การพลิกฟื้นภาวะภูมิคุ้มกัน" หรือ Host reversal ของผู้ป่วยให้กลับมาปกติโดยเร็วที่สุด เช่น การให้ยา G-CSF เพื่อกระตุ้นเม็ดเลือดขาว, การควบคุมระดับน้ำตาลและภาวะเลือดเป็นกรดในผู้ป่วยเบาหวาน, หรือการปรับเปลี่ยนยาเคมีบำบัด
ความรุนแรงและโอกาสรอดชีวิต
AIFS แตกต่างจากไซนัสอักเสบจากเชื้อราประเภทอื่นอย่างสิ้นเชิง
หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องและทันท่วงที ผู้ป่วยสามารถ "เสียชีวิตได้ภายในเวลาเพียงไม่กี่วัน"
แม้จะได้รับการรักษาอย่างเต็มที่ แต่อัตราการเสียชีวิต (Mortality) ก็ยังคงสูงมาก โดยอยู่ในช่วง 30% - 80%
ปัจจัยที่ทำให้อาการแย่ลงหรือพยากรณ์โรคไม่ดี ได้แก่: การลุกลามเข้าสมอง, การลุกลามเข้าเบ้าตา, การเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว, และภาวะไตวายหรือตับวาย
การฟื้นตัวของระบบภูมิคุ้มกันเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการรอดชีวิต หากระบบภูมิคุ้มกันไม่กลับมาเป็นปกติ ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะไม่สามารถรอดชีวิตจากโรคนี้ได้
วิรัช จิตสุทธิภากร (Wirach Chitsuthipakorn)