ภาวะท่อยูสเตเชียนเปิดค้าง (Patulous Eustachian tube)
Patulous Eustachian Tube หรือ PET เป็นภาวะที่ท่อเชื่อมต่อระหว่างหูชั้นกลางกับโพรงหลังจมูกเปิดอยู่ตลอดเวลา อาการเด่นของ PET คือความรู้สึกไม่สบายจากการได้ยินเสียงของตัวเองและเสียงลมหายใจดังกว่าปกติ ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่เรียกว่า autophony อาการอื่น ๆ ที่พบได้บ่อย เช่น ความรู้สึกหูอื้อหรือแน่นในหู (aural fullness) และในบางกรณีอาจได้ยินเสียงชีพจรของตนเองในหู (pulsatile tinnitus) อาการเหล่านี้เกิดขึ้นเนื่องจากท่อยูสเตเชียน (Eustachian tube) ซึ่งโดยปกติจะ "ปิด" เพื่อปรับความดันในหูชั้นกลาง กลับเปิดค้างอยู่ ทำให้เสียงจากโพรงหลังจมูก (nasopharynx) เดินทางตรงไปยังเยื่อแก้วหู (tympanic membrane) ได้
การวินิจฉัย
ในอดีต การวินิจฉัย PET ให้ได้อย่างชัดเจนนั้นเป็นเรื่องยาก เนื่องจากอาการที่ผู้ป่วยบอกเล่ามีความคล้ายคลึงกับภาวะอื่นๆ ของหูชั้นกลาง อย่างไรก็ตามปัจจุบันมีแนวทางที่เป็นที่ยอมรับมากขึ้น โดยเน้นการผสมผสานระหว่างประวัติอาการที่จำเพาะของผู้ป่วย การทดสอบทางคลินิก และการตรวจร่างกายเพื่อยืนยัน อาการที่ผู้ป่วยบอกเล่า เช่นมีอาการได้ยินเสียงตัวเองหรือเสียงลมหายใจดังผิดปกติ (autophony) และ/หรืออาการหูอื้อแน่นในหู (aural fullness) อาการทุเลาลงเมื่อเปลี่ยนท่าทาง เช่น นอนราบ หรือก้มศีรษะลงระหว่างเข่า การตรวจโดยหมอ อาจจะเห็นการเคลื่อนไหวของเยื่อแก้วหูที่สัมพันธ์กับการหายใจ ซึ่งสามารถมองเห็นได้ระหว่างด้วยเครื่องมือส่องหู (otoscopy) หรือกล้องเอ็นโดสโคป
ทางเลือกในการรักษา
การรักษาภาวะ PET จะพิจารณาตามความรุนแรงของอาการและผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย โดยทั่วไปจะเริ่มจากการรักษาแบบประคับประคอง และจะพิจารณาการผ่าตัดหากอาการยังคงอยู่
การจัดการแบบประคับประคอง(Conservative Management) สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการเล็กน้อยถึงปานกลาง เช่น แนะนำให้ดื่มน้ำให้เพียงพอ ผู้ป่วยอาจพบว่าอาการดีขึ้นเมื่อหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่กระตุ้นให้เกิดอาการ การเปลี่ยนท่าทางที่เน้นทำให้เลือดหรือความดันเทมาที่บริเวณศีรษะและลำคอมากขึ้น เช่น การนอนราบ สามารถช่วยให้ท่อยูสเตเชียนปิดได้ชั่วคราว การใช้สเปรย์น้ำเกลือพ่นจมูกสามารถช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับเยื่อบุของท่อยูสเตเชียน ในบางกรณีมีการใช้ยาที่ทำให้เยื่อบุบวมเพื่อช่วยให้ท่อปิด แต่ประสิทธิภาพในระยะยาวยังคงเป็นที่ถกเถียง
การรักษาด้วยการผ่าตัด (Surgical Interventions) สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงและไม่ตอบสนองต่อการรักษาแบบอื่น ๆ ได้มีการพัฒนาเทคนิคการผ่าตัดขึ้นหลายวิธี การทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบชี้ให้เห็นว่า แม้จะยังไม่มีเทคนิคใดที่ได้ผล 100% แต่หลายวิธีก็ให้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจ เช่น การปรับแต่งเยื่อแก้วหู เทคนิคที่มุ่งทำให้เยื่อแก้วหูแข็งขึ้น เพื่อลดการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงความดันจากท่อที่เปิดอยู่ สามารถทำได้โดยการแปะแผ่นกระดาษบนเยื่อแก้วหู หรือการใส่ท่อระบายอากาศเพื่อเพิ่มมวล การอุดท่อยูสเตเชียน โดยใช้เป็นจุกซิลิโคนที่ออกแบบมาเป็นพิเศษเพื่อใส่เข้าไปท่อยูสเตเชียน การสอดวัสดุเล็กๆ (เรียกว่า "shim") เช่น กระดูกอ่อน หรือท่อซิลิโคนนิ่มๆ เข้าไปในของท่อยูสเตเชียนเพื่อช่วยให้ท่อปิด หรือแคบลง การฉีดสารเพื่อทำให้ท่อแคบลง (Injections and Augmentation) เช่น ฉีดไขมันของผู้ป่วยเอง (autologous fat), กรดไฮยาลูรอนิก (hyaluronic acid), หรือแคลเซียมไฮดรอกซีอะพาไทต์ (calcium hydroxyapatite) ฉีดเข้าไปในเนื้อเยื่อรอบ ๆ ช่องเปิดของท่อยูสเตเชียน เพื่อเพิ่มความหนาของบริเวณนั้นและช่วยให้ท่อปิดได้ดีขึ้น รายงานผู้ป่วยและซีรีส์ล่าสุดแสดงผลลัพธ์ที่แตกต่างกันไป แต่มักเป็นไปในทางบวก
ประสบการณ์ส่วนตัวใช้วิธีการฉีดสารฟิลเลอร์เข้าไปแล้วพบว่าผลที่ได้ดีมาก คนไข้หายจากอาการได้ทันที และอยู่นานพอสมควร ตั้งแต่ 3-6 เดือนไปจนถึงเป็นปี หากคนไข้ท่านใดมีอาการที่เข่าข่ายจะเป็นโรค PET สามารถเข้ามาตรวจได้ หรือให้ทางต้นสังกัดส่งตัวมาที่รพ.ราชวิถี เพื่อวินิจฉัย แล้วผมจะรักษาให้ครับ
ผศ.นพ.วิรัช จิตสุทธิภากร
Figure shows the comparison between a normal eustacian tube and a patulous eustacian tube