อาการภูมิแพ้ เช่น คัดจมูก น้ำมูกไหล จาม คันตา หอบหืด หรือผื่นผิวหนัง เป็นปัญหาที่พบบ่อยและส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต การตรวจหาสาเหตุภูมิแพ้ช่วยให้แพทย์วินิจฉัยได้แม่นยำ และเลือกการรักษาที่เหมาะสม ทั้งการหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้น การใช้ยา หรือแม้กระทั่งการฉีดวัคซีนภูมิแพ้ (Immunotherapy)
ทำไมต้องตรวจภูมิแพ้?
- เพื่อหาสิ่งกระตุ้นที่ทำให้เกิดอาการ เช่น ไรฝุ่น เกสรดอกไม้ ขนสัตว์ เชื้อรา หรืออาหารบางชนิด
- เพื่อแยกว่าผู้ป่วยมีอาการจากภูมิแพ้จริง หรือเกิดจากสาเหตุอื่น เช่น ไซนัสอักเสบ หวัดเรื้อรัง
- เพื่อช่วยแพทย์วางแผนการรักษา เช่น ปรับยา แนะนำการเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ หรือพิจารณาการทำภูมิคุ้มกันบำบัด
- เพื่อลดการใช้ยาที่ไม่จำเป็นในระยะยาว
วิธีการตรวจภูมิแพ้ที่ใช้บ่อย
- เป็นวิธีมาตรฐานและนิยมใช้มากที่สุด
- ใช้หยดสารก่อภูมิแพ้ปริมาณเล็ก ๆ ลงบนผิวหนังแขนหรือหลัง แล้วใช้เข็มสะกิดเบา ๆ
- ถ้าแพ้จริงจะมีตุ่มนูนแดงคล้ายยุงกัดภายใน 15–20 นาที
- สามารถตรวจพร้อมกันหลายชนิดในครั้งเดียว
ข้อดี
- รู้ผลเร็วภายในครึ่งชั่วโมง
- ราคาถูกกว่าการตรวจเลือด (ราคาหลักร้อย)
- ความไวและความจำเพาะสูง
ข้อจำกัด
- ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีผื่นผิวหนังขึ้นรอยง่าย
- มีโอกาสเกิดอาการคันหรือบวมเล็กน้อยที่ตำแหน่งทดสอบ หรืออาจมีโอกาสแพ้รุนแรงทั่วร่างกาย(โอกาสน้อยมาก)
- ต้องหยุดยาแก้แพ้ก่อนทดสอบอย่างน้อย 7 วัน
- ทดสอบได้น้อยชนิดกว่าเมื่อเทียบกับแบบเจาะเลือด
- คิวทดสอบอาจต้องรอนาน
- ใช้การเจาะเลือดเพื่อตรวจหาภูมิคุ้มกันชนิด IgE ต่อสารก่อภูมิแพ้แต่ละชนิด
- ตัวอย่างที่รู้จักกันดี เช่น ImmunoCAP, MAST test
- ปัจจุบันถือเป็นวิธีมาตรฐานอีกหนึ่งวิธี ที่เทียบเท่ากับการสะกิดผิวหนัง
ข้อดี
- เหมาะกับผู้ที่ไม่สามารถหยุดยาแก้แพ้ได้
- เหมาะกับผู้ที่มีผื่นผิวหนังมาก
- ปราศจากความเสี่ยงต่อการเกิดปฏิกิริยาจากการทดสอบผิวหนัง
- สามารถตรวจได้หลายสิบชนิดพร้อมกัน
- สามารถตรวจได้ละเอียดกว่าแบบสะกิดผิวหนัง โดยสามารถบอกการแพ้แบบข้ามกลุ่มได้
ข้อจำกัด
- ราคาสูงกว่าการตรวจผิวหนัง (1,800 - 5,000 บาท)
- รู้ผลช้ากว่า (ใช้เวลา 1–2 สัปดาห์ขึ้นกับห้องแล็บ)
- เป็นการตรวจเลือดเชิงลึกระดับโมเลกุล
- ใช้บอกได้ว่าแพ้โปรตีนส่วนใดของสารก่อภูมิแพ้ เช่น ไรฝุ่น เกสร หรืออาหาร
- ช่วยแยก “การแพ้จริง” ออกจาก “การแพ้ข้าม” เช่น บางคนตรวจพบแพ้ถั่วลิสง แต่กินได้โดยไม่เป็นอะไร → CRD จะบอกได้ว่าเป็นจริงหรือไม่
ข้อดี
- ให้ข้อมูลละเอียด เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีผลตรวจซับซ้อนหรือสงสัยแพ้อาหารรุนแรง
- ช่วยแพทย์ตัดสินใจเรื่องการฉีดวัคซีนภูมิแพ้ หรือการหลีกเลี่ยงอาหารที่จำเป็นจริง ๆ
ข้อจำกัด
- ราคาสูงกว่าการตรวจทั่วไป (มากกว่า 15,000 บาท)
- ใช้เฉพาะในบางกรณี ไม่ใช่การตรวจพื้นฐานที่ทุกคนต้องทำ
- หยุดยาแก้แพ้ อย่างน้อย 7 วัน หากจะทำ Skin Test เพราะยาจะกดผลตรวจ
- แจ้งแพทย์เกี่ยวกับโรคประจำตัวและยาที่ใช้อยู่ เช่น สเตียรอยด์ ยาแก้ซึมเศร้า ยาลดความดันบางชนิด
- งดคาเฟอีนและแอลกอฮอล์ก่อนตรวจ เพื่อป้องกันอาการแทรกซ้อนเล็กน้อย เช่น ใจสั่น
- สวมเสื้อผ้าที่สะดวก เพราะอาจต้องทดสอบที่แขนหรือหลัง
- ถ้าเป็น Skin Test อาจมีรอยตุ่มคันเล็ก ๆ อยู่ 1–2 ชั่วโมง แล้วจะค่อย ๆ ยุบลงเอง
- สามารถกลับไปทำงานหรือใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ
- ถ้าเป็น การเจาะเลือด จะไม่มีอาการอะไรพิเศษ นอกจากรอยเข็มเล็ก ๆ
- ผลตรวจจะต้องอธิบายร่วมกับประวัติอาการ ไม่ควรตีความเอง
Q: เด็กเล็กตรวจได้หรือไม่?
A: ตรวจได้ตั้งแต่อายุ 6 เดือนขึ้นไป แต่ส่วนมากนิยมตรวจเมื่ออายุ 3–4 ปีขึ้นไปเพื่อความแม่นยำ
Q: การตรวจภูมิแพ้เจ็บไหม?
A: Skin test จะเจ็บเพียงเล็กน้อยคล้ายเข็มสะกิด ส่วนเจาะเลือดก็เหมือนตรวจเลือดทั่วไป
Q: ควรตรวจภูมิแพ้ทุกกี่ปี?
A: หากมีอาการชัดเจน ตรวจเพียงครั้งเดียวก็พอ เว้นแต่มีการเปลี่ยนแปลงของอาการหรือต้องการประเมินใหม่
Q: ผลตรวจบวก แปลว่าแพ้แน่นอนหรือไม่?
A: ไม่เสมอไป ต้องดูประวัติอาการร่วมด้วยเสมอ
การตรวจภูมิแพ้เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้แพทย์หาสาเหตุของอาการแพ้ได้ชัดเจน ปัจจุบันมีทั้งการทดสอบทางผิวหนัง การตรวจเลือดแบบมาตรฐาน และการตรวจเชิงลึก CRD ซึ่งแต่ละวิธีมีข้อดีและข้อจำกัดต่างกัน การเลือกตรวจชนิดใดขึ้นกับอาการ ความเหมาะสม และคำแนะนำของแพทย์ การรู้ว่าแพ้อะไรจริง ๆ จะช่วยให้คุณปรับพฤติกรรม ลดการสัมผัสสิ่งกระตุ้น และเลือกรับการรักษาที่เหมาะสมที่สุด เพื่อให้คุณภาพชีวิตดีขึ้นในระยะยาว
นพ.วิรัช จิตสุทธิภากร