เมื่อพูดถึง "ไซนัสอักเสบ" คนส่วนใหญ่มักจะนึกถึงอาการคัดจมูก น้ำมูกข้น ปวดบริเวณใบหน้าหรือศีรษะ ซึ่งโดยมากมีสาเหตุมาจากการติดเชื้อแบคทีเรียหรือไวรัสตามหลังอาการหวัด แต่ในความเป็นจริงแล้ว ยังมีอีกหนึ่งสาเหตุสำคัญที่มักถูกมองข้ามและวินิจฉัยได้ยากกว่า นั่นคือ "ไซนัสอักเสบจากก้อนเชื้อรา"
เชื้อรานั้นมีอยู่ทั่วไปตั้งแต่ในดิน ในอากาศ ไปจนถึงในบ้านที่อับชื้น เราอาจเคยเห็นมันขึ้นบนขนมปัง หรือในสิ่งแวดล้อมที่ชื้น มืด อุณหภูมิค่อนข้างเย็นๆหน่อย ในทุกๆ วันเราหายใจเอาสปอร์ของเชื้อราเข้าไปนับพันนับหมื่นสปอร์โดยไม่รู้ตัว แต่โดยปกติแล้ว ระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงของร่างกายจะสามารถกำจัดมันออกไปได้โดยไม่ก่อให้เกิดปัญหาใดๆ
แล้วเมื่อไหร่ที่เชื้อราเหล่านี้จะกลายเป็นปัญหา? คำตอบคือ เมื่อมี "สภาวะที่เหมาะสม" บางอย่างเกิดขึ้นภายในโพรงไซนัสของเรา ทำให้สปอร์ของเชื้อราที่หลุดรอดเข้าไปสามารถปักหลักและเจริญเติบโตขึ้นได้
ก้อนเชื้อรา (Fungal Ball) เป็นรูปแบบของไซนัสอักเสบจากเชื้อราที่พบได้บ่อยที่สุดในคนที่มีสุขภาพแข็งแรงดี ภาวะนี้เกิดขึ้นเมื่อสปอร์ของเชื้อราเข้าไปในโพรงไซนัส (โดยเฉพาะไซนัสข้างแก้ม หรือ Maxillary Sinus) แล้วทางระบายของไซนัสนั้นเกิดการอุดตัน ทำให้ไม่มีอากาศถ่ายเท มีความอับชื้นสูง กลายเป็นสภาวะแวดล้อมที่สมบูรณ์แบบให้เชื้อราเจริญเติบโต เมื่อเวลาผ่านไป เชื้อราจะค่อยๆ รวมตัวกันเป็นก้อนลักษณะคล้ายดินเหนียวหรือชีสเก่าๆ อัดแน่นอยู่เต็มโพรงไซนัส
สิ่งที่ทำให้การวินิจฉัยยากคือ ก้อนเชื้อรานี้ไม่ได้ "ลุกลาม" เข้าไปในเนื้อเยื่อโดยรอบ มันเป็นเพียงการสะสมตัวของเชื้อราที่ตายแล้วและที่ยังมีชีวิตอยู่ปะปนกัน ทำให้เกิดการอักเสบแบบน้อยๆ และต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน ผู้ป่วยจึงมักมีอาการที่ไม่ชัดเจนและไม่รุนแรงเท่าไซนัสอักเสบจากแบคทีเรียทั่วไป เช่น
ปวดศีรษะแบบตื้อๆ หน่วงๆ ที่บอกตำแหน่งชัดเจนไม่ได้
ปวดบริเวณใบหน้าหรือโหนกแก้ม เป็นๆ หายๆ กินยาแก้ปวดก็ทุเลาไปพักหนึ่งแล้วก็กลับมาเป็นอีก
รู้สึกว่าลมหายใจมีกลิ่นเหม็น ทั้งที่ดูแลสุขภาพช่องปากเป็นอย่างดี
คัดจมูกข้างเดียวเรื้อรัง หรือมีน้ำมูกข้นๆ ไหลลงคอเป็นบางครั้ง
บางรายอาจไม่มีอาการใดๆ เลย แต่ตรวจพบโดยบังเอิญจากการเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT Scan) ด้วยเหตุผลอื่น
ด้วยอาการที่ไม่จำเพาะเจาะจงนี้เอง ทำให้ผู้ป่วยจำนวนมากมีอาการปวดเรื้อรังมานานหลายปี หรือได้รับการรักษาว่าเป็นไซนัสอักเสบจากแบคทีเรียซ้ำแล้วซ้ำเล่าแต่ก็ไม่หายขาด จนกระทั่งแพทย์สงสัยและส่งตรวจด้วย CT Scan จึงจะพบลักษณะเฉพาะของก้อนเชื้อราที่อัดแน่นอยู่ในโพรงไซนัส
ราลุกลาม (Invasive Fungal Rhinosinusitis): ภาวะฉุกเฉินที่อันตรายถึงชีวิต
แม้ว่าก้อนเชื้อราโดยทั่วไปจะไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต แต่สถานการณ์จะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงหากเชื้อรานั้นเกิดขึ้นในผู้ป่วยที่ "ภูมิคุ้มกันบกพร่อง" อย่างรุนแรง ในกรณีนี้ เชื้อราจะไม่เพียงแค่เจริญเติบโตเป็นก้อนอยู่เฉยๆ แต่จะกลายสภาพเป็น "ราลุกลาม" (Invasive Fungal Rhinosinusitis, IFRS) ซึ่งถือเป็นภาวะเร่งด่วนทางการแพทย์ที่ต้องได้รับการรักษา
กลุ่มผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูง ได้แก่:
ผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ได้
ผู้ป่วยมะเร็งต่อมน้ำเหลือง หรือมะเร็งเม็ดเลือดขาวที่ได้รับยาเคมีบำบัด
ผู้ป่วยที่ได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะและต้องกินยากดภูมิคุ้มกัน
เมื่อภูมิคุ้มกันของร่างกายอ่อนแอลง เชื้อราจะสามารถแทรกซึมและทำลายเนื้อเยื่อต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว มันสามารถลุกลามจากโพรงไซนัสเข้าไปยังเบ้าตา ทำให้ตาบวม ตามัว หรือตาบอดถาวร และที่อันตรายที่สุดคือการลุกลามเข้าสู่สมอง ซึ่งอาจทำให้เสียชีวิตได้อย่างรวดเร็ว
การรักษาภาวะราลุกลามนั้นยากและซับซ้อน ต้องอาศัยการผ่าตัดอย่างเร่งด่วนเพื่อขจัดเนื้อเยื่อที่ติดเชื้อและตายแล้วออกให้มากที่สุด ซึ่งมักจะเป็นการผ่าตัดใหญ่และอาจต้องทำซ้ำหลายครั้ง ร่วมกับการให้ยาฆ่าเชื้อราชนิดฉีดเข้าเส้นเลือดในปริมาณสูง ซึ่งยาตัวหลักอย่าง Amphotericin B นั้นมีผลข้างเคียงที่รุนแรงมาก โดยเฉพาะความเป็นพิษต่อไต แม้ปัจจุบันจะมียารุ่นใหม่ (Liposomal Amphotericin B) ที่มีผลข้างเคียงน้อยกว่า แต่ก็มีราคาสูงมาก ด้วยความรุนแรงของโรคและอุปสรรคในการรักษา ทำให้อัตราการเสียชีวิตจากภาวะนี้ยังคงค่อนข้างสูง
ไซนัสอักเสบจากราร่วมกับภูมิแพ้ (Allergic Fungal Rhinosinusitis, AFRS)
ยังมีเชื้อราอีกประเภทหนึ่งที่ก่อปัญหาในโพรงไซนัสด้วยกลไกที่แตกต่างออกไป คือ "ไซนัสอักเสบจากราร่วมกับภูมิแพ้" (Allergic Fungal Rhinosinusitis, AFRS) ภาวะนี้ไม่ได้เกิดจากการที่เชื้อรา "ติดเชื้อ" หรือ "ลุกลาม" แต่เกิดจาก "ปฏิกิริยาภูมิแพ้" ของร่างกายต่อสปอร์ของเชื้อราที่อยู่ในโพรงไซนัส
ผู้ป่วยกลุ่มนี้มักจะมีพื้นฐานเป็นโรคภูมิแพ้อยู่แล้ว เช่น โรคหอบหืด หรือแพ้อากาศ เมื่อร่างกายสัมผัสกับเชื้อรา จะเกิดการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันที่มากเกินไป ทำให้เกิดการอักเสบอย่างรุนแรงในเยื่อบุไซนัส และมีการผลิตเมือกที่เหนียวข้นและมีลักษณะเฉพาะที่เรียกว่า "Eosinophilic mucin" ซึ่งมีลักษณะคล้ายเนยถั่วหรือกาวข้นๆ อุดตันอยู่เต็มโพรงไซนัสและโพรงจมูก
ลักษณะเด่นของผู้ป่วยกลุ่มนี้ คือ:
เป็นไซนัสอักเสบเรื้อรังที่ไม่ตอบสนองต่อยาปฏิชีวนะ
มักพบริดสีดวงจมูก (Nasal Polyps) ร่วมด้วย
น้ำมูกเหนียวข้นมากผิดปกติ
ผลการทดสอบภูมิแพ้ทางผิวหนังหรือในเลือดให้ผลบวกต่อเชื้อรา
เอกซเรย์คอมพิวเตอร์พบลักษณะเฉพาะของการอุดตันและความหนาตัวของเยื่อบุไซนัส
การรักษา AFRS มีความซับซ้อนและต้องใช้การดูแลระยะยาว การผ่าตัดผ่านกล้องเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อนำเอามูกเหนียวๆ เหล่านี้และริดสีดวงจมูกออกให้หมด เพื่อเปิดทางระบายของไซนัส แต่เนื่องจากต้นตอของปัญหาคือ "ภูมิแพ้" การผ่าตัดเพียงอย่างเดียวจึงไม่สามารถทำให้โรคหายขาดได้ ผู้ป่วยจำเป็นต้องใช้ยาสเตียรอยด์พ่นจมูกอย่างสม่ำเสมอ ในบางรายอาจต้องรับประทานยาสเตียรอยด์เป็นช่วงๆ หรือรับการรักษาด้วยภูมิคุ้มกันบำบัด (Immunotherapy) เพื่อปรับเปลี่ยนการตอบสนองของร่างกายต่อเชื้อราในระยะยาว
บทสรุปและการรักษา
โดยสรุปแล้ว ไซนัสอักเสบจากเชื้อราเป็นโรคที่มีหลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่แบบไม่รุนแรงไปจนถึงขั้นอันตรายถึงชีวิต การวินิจฉัยที่ถูกต้องตั้งแต่เนิ่นๆ คือหัวใจสำคัญของการรักษาที่ประสบความสำเร็จ
สำหรับก้อนเชื้อรา (Fungal Ball): การรักษาหลักและได้ผลดีที่สุดคือ การผ่าตัดไซนัสผ่านกล้อง (Endoscopic Sinus Surgery) เพื่อเข้าไปนำก้อนเชื้อราออกทั้งหมดและเปิดทางระบายของไซนัสให้โล่ง การผ่าตัดนี้เป็นการรักษาที่สามารถทำให้โรคหายขาดได้ ผู้ป่วยจำนวนมากจะพบว่าอาการปวดศีรษะเรื้อรังที่เคยเป็นมานานหายไปเหมือนปลิดทิ้งหลังการผ่าตัด
สำหรับราลุกลาม (IFRS): ต้องรักษาแบบรีบด่วนด้วยการผ่าตัด ร่วมกับการให้ยาฆ่าเชื้อราทางเส้นเลือด ซึ่งมีความเสี่ยงสูงและผลการรักษาไม่แน่นอน
สำหรับไซนัสอักเสบจากราร่วมกับภูมิแพ้ (AFRS): ต้องใช้การรักษาแบบผสมผสาน ทั้งการผ่าตัด, การใช้ยาสเตียรอยด์ และอาจต้องทำภูมิคุ้มกันบำบัดร่วมด้วย
หากคุณมีอาการที่เข้าข่าย "ไซนัสอักเสบเรื้อรัง" เช่น คัดจมูกต่อเนื่อง น้ำมูกข้นเปลี่ยนสี การรับกลิ่นลดลง หรือมีอาการปวดตึงใบหน้าหรือปวดศีรษะที่ไม่ดีขึ้นด้วยการรักษาแบบปกติ อย่าลังเลที่จะปรึกษาแพทย์ด้านหู คอ จมูก เพื่อรับการตรวจอย่างละเอียด การตระหนักรู้และเข้าใจว่าไซนัสอักเสบไม่ได้เกิดจากแบคทีเรียเสมอไป จะช่วยให้ท่านและแพทย์สามารถค้นหาสาเหตุที่แท้จริงและวางแผนการรักษาที่เหมาะสมได้ทันท่วงที
ผศ.นพ.วิรัช จิตสุทธิภากร