โรคจมูกอักเสบที่ไม่ใช่ภูมิแพ้ (Nonallergic Rhinitis หรือ NAR) เป็นคำกว้างๆ ที่ใช้อธิบายอาการของเยื่อจมูกอักเสบ เช่น อาการคัดจมูก น้ำมูกไหล (rhinorrhea) และจาม ซึ่งไม่ได้เกิดจากอาการแพ้ (ปฏิกิริยาที่ผ่านสาร IgE) ภาวะนี้ถือเป็น "การวินิจฉัยโดยการคัดออก" (diagnosis of exclusion) หมายความว่า แพทย์จะวินิจฉัยภาวะนี้ก็ต่อเมื่อผลการทดสอบภูมิแพ้ (ทางผิวหนังหรือทางเลือด) ออกมาเป็นลบ
แม้ว่าโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ (Allergic Rhinitis หรือ AR) และชนิดไม่แพ้ (NAR) จะมีอาการที่คล้ายคลึงกัน แต่ก็มีความแตกต่างที่สำคัญ ดังนี้:
สิ่งกระตุ้น: AR ถูกกระตุ้นโดยสารก่อภูมิแพ้ (เกสรดอกไม้ ไรฝุ่น สะเก็ดผิวหนังสัตว์) ส่วน NAR มักถูกกระตุ้นโดยสารระคายเคืองในสิ่งแวดล้อม (ควัน กลิ่นฉุน การเปลี่ยนแปลงของอากาศ) อาหารบางชนิด หรือการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน
อายุที่เริ่มมีอาการ: AR มักเริ่มมีอาการในวัยเด็ก ส่วน NAR โดยทั่วไปจะเริ่มมีอาการหลังอายุ 20 ปี
อาการ: AR มักมีอาการคันอย่างชัดเจน (ที่จมูก ตา) และมีอาการทางตาร่วมด้วย ส่วนอาการของ NAR จะเด่นที่อาการคัดจมูกและน้ำมูกไหลลงคอ โดยมีอาการคันน้อยมากหรือไม่คันเลย และไม่ค่อยมีอาการทางตา
นอกจากนี้ ผู้ป่วยอาจมี "ภาวะเยื่อจมูกอักเสบแบบผสม" (mixed rhinitis) ซึ่งเป็นการผสมผสานกันระหว่างโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้และชนิดไม่แพ้
NAR เป็น "กลุ่มอาการที่มีความหลากหลาย" (heterogenous) หมายความว่ามีสาเหตุและประเภทย่อยที่แตกต่างกันมากมาย โดยทั่วไปจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก:
NAR ชนิดมีการอักเสบ (Inflammatory NAR): บางประเภทย่อย เช่น NARES (Nonallergic Rhinitis with Eosinophilia Syndrome) เกี่ยวข้องกับการอักเสบ ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะมีเซลล์ที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบ (อีโอซิโนฟิล) ในเยื่อบุจมูกจำนวนมาก คล้ายกับปฏิกิริยาภูมิแพ้ แต่ไม่พบตัวกระตุ้นภูมิแพ้
NAR ชนิดไม่มีการอักเสบ (Nonallergic Rhinopathy): เป็นรูปแบบที่พบบ่อยกว่า ซึ่งไม่ได้เกิดจากการอักเสบ แต่เชื่อกันว่าเกิดจากความไม่สมดุลในระบบประสาทอัตโนมัติ
ในกรณีนี้ เส้นประสาทพาราซิมพาเทติก (parasympathetic nerves) ในจมูกจะทำงานไวเกินไป
ตัวรับสัญญาณประสาทที่เรียกว่า TRPV1 (transient receptor potential vanilloid-1) จะมีความไวสูง
สิ่งกระตุ้น เช่น อากาศเย็น การเปลี่ยนแปลงความชื้น หรืออาหารรสเผ็ด (ซึ่งมีสารแคปไซซิน) จะไปกระตุ้นตัวรับ TRPV1 นี้
การกระตุ้นนี้ทำให้เส้นประสาทหลั่งสารเปปไทด์ (เช่น Substance P) ซึ่งนำไปสู่การขยายตัวของหลอดเลือด (อาการคัดจมูก) และการผลิตน้ำมูกที่เพิ่มขึ้น (อาการน้ำมูกไหล) โดยตรง
ชนิดไม่ทราบสาเหตุ (Idiopathic หรือ Vasomotor Rhinitis): เป็นชนิดที่เกี่ยวข้องกับระบบประสาท (TRPV1) โดยอาการจะถูกกระตุ้นโดยสารระคายเคือง เช่น อากาศเย็น กลิ่นฉุน หรือความเครียด
ชนิดที่เกิดขณะรับประทานอาหาร (Gustatory Rhinitis): มีน้ำมูกใสๆ ไหลออกมามากภายในไม่กี่ชั่วโมงหลังรับประทานอาหาร โดยเฉพาะอาหารรสเผ็ด
ชนิดที่เกิดจากยา (Drug-induced Rhinitis):
Rhinitis Medicamentosa: อาการคัดจมูกอย่างรุนแรง (rebound congestion) ที่เกิดจากการใช้ยาพ่นจมูกชนิดที่ทำให้หลอดเลือดหดตัว (เช่น oxymetazoline) มากเกินไป หรือนานกว่า 5-10 วัน
ยาอื่นๆ: อาการอาจเป็นผลข้างเคียงจากยา เช่น ยาในกลุ่ม NSAIDs ยาลดความดันกลุ่ม beta-blockers และ ACE inhibitors
ชนิดที่เกิดจากฮอร์โมน (Hormonal Rhinitis): อาการคัดจมูกที่เชื่อมโยงกับการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน เช่น ระหว่างตั้งครรภ์ ช่วงวัยรุ่น หรือช่วงมีประจำเดือน
NARES: ชนิดที่มีการอักเสบ ซึ่งมีลักษณะเด่นคือพบเซลล์อีโอซิโนฟิลจำนวนมากจากการตรวจน้ำมูก แต่ไม่พบหลักฐานของโรคภูมิแพ้
เนื่องจากสาเหตุมีความหลากหลายมาก การรักษาจึงต้องมุ่งเป้าไปที่ประเภทย่อยของ NAR ที่เฉพาะเจาะจง
การรักษาที่แนะนำคือการใช้ยาสเตียรอยด์พ่นจมูก ร่วมกับยาแก้แพ้ชนิดพ่นจมูก
การใช้ยาสเตียรอยด์พ่นจมูกเพียงอย่างเดียว (monotherapy) มักไม่ค่อยมีประสิทธิภาพในการรักษา NAR
ยาพ่นจมูกกลุ่ม Anticholinergics (เช่น ipratropium): ยานี้มีประสิทธิภาพสูงในการลดน้ำมูกไหล (rhinorrhea) โดยการยับยั้งสัญญาณประสาทที่สั่งให้ผลิตน้ำมูก ถือเป็นยาตัวเลือกแรกสำหรับภาวะ Gustatory Rhinitis
ยาพ่นจมูกแคปไซซิน (Intranasal Capsaicin): นี่คือการรักษาที่พิเศษซึ่งออกฤทธิ์โดยตรงต่อตัวรับ TRPV1 ที่ไวเกินไป การใช้ยาซ้ำๆ จะทำให้เส้นประสาทลดความไวลง (desensitize) ซึ่งสามารถบรรเทาอาการได้นานหลายเดือน
Rhinitis Medicamentosa: การรักษาคือต้องหยุดใช้ยาพ่นจมูกที่ทำให้หลอดเลือดหดตัวโดยสิ้นเชิง ซึ่งมักจะจัดการโดยการใช้ยาสเตียรอยด์พ่นจมูก หรือยาสเตียรอยด์ชนิดรับประทานในระยะสั้นๆ เพื่อช่วยให้ผ่านช่วงที่มีอาการคัดจมูกอย่างรุนแรงไปได้
ยาลดอาการคัดจมูก (ชนิดรับประทานหรือพ่น): สามารถช่วยบรรเทาอาการคัดจมูกได้ แต่ไม่เหมาะสำหรับการใช้ในระยะยาว ยารับประทานมีความเสี่ยงต่อหัวใจ ส่วนยาพ่นจมูกก็ทำให้เกิดอาการคัดจมูกกลับเป็นซ้ำได้
การผ่าตัด: สำหรับอาการน้ำมูกไหลที่รุนแรงและดื้อต่อการรักษาด้วยยา ยังมีทางเลือกในการผ่าตัด ซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่อลดการทำงานของเส้นประสาท posterior nasal ที่ส่งสัญญาณให้ผลิตน้ำมูก ทางเลือกที่มี ได้แก่ การผ่าตัดจี้เส้นประสาท Vidian (endoscopic vidian neurectomy) หรือหัตถการแบบใหม่ๆ ที่ทำได้ในคลินิก เช่น การจี้ด้วยความเย็น (cryotherapy) และการจี้ด้วยคลื่นวิทยุ (radiofrequency ablation)
วิรัช จิตสุทธิภากร